รีวิว R-Widget R-CRM เครื่องมือเก็บ Lead และช่วยปิดการขายผ่านแชท

R-widget เครื่องมือวัดผลจำนวนการทักแชท

แม้ในปัจจุบันการสร้างเว็บไซต์ E-commerce จะเป็นเรื่องปกติที่ทั้งแบรนด์ใหญ่ แบรนด์เล็ก สามารถทำกันได้อย่างง่ายดายผ่านเว็บไซต์สำเร็จรูปต่างๆ รวมถึงลูกค้าเองก็สามารถสั่งซื้อและชำระเงินได้อย่างสะดวกสบายผ่านหน้าเว็บไซต์ อย่างไรก็ตาม แทบจะทุกธุรกิจก็ยังคงต้องเปิดช่องทางการขายผ่านสื่อโซเชียลโดยเฉพาะ Facebook Messenger และ Chat App อย่าง LINE OA เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้าที่ยังคงชอบที่จะพูดคุยสอบถามรายละเอียดต่างๆ ของสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ยิ่งเป็นสินค้าใหม่ที่ลูกค้ายังไม่เคยรู้จัก ไม่เคยใช้งาน แน่นอนว่าการตัดสินใจซื้อทันทีคงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ดังนั้นทุกวันนี้เรายังคงเห็นหลายแบรนด์ทั้งเล็กและใหญ่ยังมียอดขายสินค้าผ่าน Facebook Messenger และ LINE OA อยู่ค่อนข้างสูง เพราะเมื่อลูกค้าพูดคุยสอบถามเสร็จแล้ว ถ้าต้องการซื้อสินค้านั้น แบรนด์เองก็คงไม่อยากจะไล่ให้ไปซื้อสินค้าที่หน้าเว็บเอง การปิดการขายได้ทันทีย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่าจริงไหมครับ ดังนั้นการที่เราเข้าเว็บไซต์ขายของแล้วพบว่าที่มุมขวาล่างของหน้าเว็บจะมีไอคอน Live Chat จึงเป็นเรื่องปกติไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การขายสินค้าผ่านช่องทางสื่อโซเชียล และ Chat App ต่างๆ ก็ยังคงมีความไม่สะดวกในการจัดการอยู่หลายประการ ที่ทำให้การปิดการขายทำได้ไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น

การขายผ่าน Live Chat ยังมีข้อจำกัด

การขายสินค้าผ่านช่องทางแชทต่างๆ ที่หลากหลายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกนักสำหรับแอดมินที่ดูแลช่องทางเหล่านี้ เพราะการทำงานยังคงมีความไม่สะดวกอยู่หลายประการ ซึ่งหลายครั้งความไม่สะดวกต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานหลายๆ แพลตฟอร์มก็นำไปสู่ปัญหาการจัดการที่ขาดความเป็นระบบระเบียบ ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการสนทนากระจัดกระจาย ไม่เป็นศูนย์กลาง และทำให้พลาดการปิดการขายสำคัญไปได้ ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ได้แก่

  • คนที่ดูแลช่องทางการขายเหล่านี้ต้องเข้าใช้งานระบบแชทที่แยกแพลต์ฟอร์ม และต้องเปิดหลายๆ หน้าจอ ทำให้มีความไม่สะดวก
  • การเก็บข้อมูลลูกค้า(Lead) และข้อมูลสนทนาต่างๆ ไม่เป็นศูนย์กลาง ทำให้การบริหารจัดการ Lead เกิดความยุ่งยาก ไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของลูกค้าแต่ละรายได้ว่าใครที่เราควรให้ความสำคัญก่อนหรือหลัง
  • การตัดสินใจซื้อไม่ได้เกิดขึ้นจากการพูดคุยเพียงครั้งเดียว ดังนั้นหลังจากมีการเก็บ Lead แล้ว การมีระบบติดตามลูกค้า มีระบบแจ้งเตือนแอดมินผู้ดูแลลูกค้า มีระบบออกใบเสนอราคา จากศูนย์กลางเพื่อกระจายส่งต่อไปยังช่องทาง Chat ต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญมาก ที่จะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
  • การติดตามลูกค้า การกำหนดสถานะ การสร้าง Sales Pipeline เพื่อบริหารจัดการลูกค้า เป็นสิ่งที่จัดการได้ยากในกรณีที่แบรนด์มีช่องทางการขายผ่านหลายๆ Chat App เพราะต้องจัดการแยกแพลตฟอร์มกันทั้งหมด ซึ่งทำให้การจัดการข้อมูลก็จะมีความยุ่งยากขึ้นอีก

บทความนี้จะมาแนะนำ Readyplanet Marketing Platform เครื่องมือที่ช่วยให้ร้านค้า และแบรนด์ต่างๆ ที่ยังเน้นการขายผ่าน Chat App สามารถจัดการปัญหาต่างๆ เหล่านี้ และช่วยสร้างโอกาสในการปิดการขายที่มากขึ้น ซึ่งเครื่องมือนี้มีเปิดให้ทดลองใช้ฟรีด้วย ใครสนใจผมใส่ลิงค์ไว้ให้ท้ายบทความนี้นะครับ
***บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Readyplanet เพื่อการประชาสัมพันธ์เท่านั้น มิได้รับค่าคอมมิสชั่นจากการสมัครใช้งานแต่อย่างใด และเนื้อหาในบทความเป็นเนื้อหาที่เขียนขึ้นจากมุมมองผ่านการทดลองใช้งานของผู้เขียน***

ทำความรู้จัก Readyplanet Marketing Platform

Readyplanet Marketing Platform เป็นเครื่องมือช่วยในการทำการตลาดที่เน้นไปที่ Bottom Funnel เป็นส่วนใหญ่ พูดง่ายๆ ก็คือเน้นไปที่การสร้าง Lead และ Sales ซึ่งภายใน Platform นี้มีฟีเจอร์อยู่มากมายหลายฟีเจอร์ แต่ที่จะเน้นในบทความนี้มีอยู่ 2 ฟีเจอร์สำคัญ ซึ่งได้แก่ R-Widget และ R-CRM ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาข้างต้นตามที่ได้กล่าวไปแล้ว

readyplanet-marketing-platform

R-Widget  เครื่องมือสนทนา และการเก็บ Lead

R-Widget เป็นเครื่องมือที่เอาไว้สื่อสารบนหน้าเว็บผ่าน Chat Window ที่หลายคนน่าจะพอคุ้นเคยกันอยู่แล้ว การเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้เพียงแค่นำโค้ด R-Widget ไปใส่ไว้ภายในเว็บ หรือจะวางผ่าน Google Tag Manager ก็ได้ เมื่อวางโค้ดเสร็จแล้ว หน้าเว็บก็จะแสดง Widget ทางมุมขวาล่างตามภาพด้านล่างนี้

R-widget-readyplanet marketing platform

ยูสเซอร์ที่เข้ามาภาพในเว็บก็จะสามารถคลิ้กเพื่อพูดคุยสอบถามได้ทันที แต่ถ้าทำได้เพียงเท่านี้ก็จะดูธรรมดาไปเสียหน่อย ข้อดีข้อ R-Widget คือ เราสามารถเชื่อมต่อกับ LINE OA และ Facebook Messenger ได้ด้วย ซึ่งลูกค้าก็สามารถที่จะเลือกช่องทางที่แต่ละคนสะดวก และเมื่อลูกค้าทักเข้ามา ไม่ว่าจะผ่าน LINE OA, Facebook Messenger หรือระบบ Chatday (ระบบ Chat ที่ทาง Readyplanet พัฒนาขึ้นมา) ข้อความทั้งหมดก็จะเข้าไปรวมอยู่ที่ระบบ R-CRM ที่เดียวในส่วนที่เรียกว่า Chat Center ทำให้แอดมินของแบรนด์สามารถทำงานได้ง่ายและสะดวกกว่าการต้องทำงานพร้อมกันหลายๆ แพลตฟอร์ม ซึ่งระบบจะแจ้งเตือนให้ Admin ผู้ดูแลทราบด้วยว่าการทักเข้ามานั้นเป็นการทักมาจากแชนแนลไหน ตามภาพตัวอย่างด้านล่าง ที่สำคัญคือเมื่อมีลูกค้าทักเข้ามาแล้ว เราจะได้เบอร์โทรศัพท์มาด้วย ซึ่งหากว่าลูกค้าเริ่มแสดงความสนใจ แอดมินก็จะสามารถกดเพิ่มเข้าไปใน Sales Pipeline ในสถานะ New Lead เพื่อติดตามกระตุ้นการขายในภายหลังได้ ในส่วนของการเพิ่ม Lead และ Sales Pipeline จะเขียนอธิบายในส่วน R-CRM อีกที

Chatday ระบบแชทที่เชื่อมต่อ Facebook และ LINE OA

สำหรับนักการตลาดที่ชอบการวัดผล เมื่อติดตั้ง R-Widget แล้ว เราก็จะได้รีพอร์ทเพื่อวัด Performance ของการทำการตลาดและการทำโฆษณามาโดยอัติโนมัติ ซึ่งรีพอร์ทจะทำให้เราทราบว่า ช่องทางการตลาดที่เราทำผ่านแชนแนลต่างๆ นั้น แชนแนลไหนที่ทำให้เกิดการทักแชทเข้ามามากที่สุด โดยที่รีพอร์ทจะแยกให้ทราบว่าทักผ่าน Facebook จำนวนเท่าไร และทักผ่าน LINE OA เท่าไร รวมไปถึงสามารถดู Performance แยกตามแคมเปญโฆษณาได้ด้วยถ้ามีการเชื่อมต่อระบบกับ Google Ads หรือมีการทำ UTM tagging ไว้ แต่ข้อมูลสำคัญอย่างหนึ่งที่ส่วนตัวผมต้องดูอยู่เสมอ และเชื่อว่าผู้อ่านส่วนใหญ่ก็คงดูอยู่เช่นกัน คือค่า Conversion Rate ซึ่งน่าเสียดายที่ตอนนี้รีพอร์ทยังไม่แสดงให้เห็นค่า Conversion Rate ของการคล้ิกไอคอน LINE OA และ Messenger ซึ่งผมได้ฟีดแบคไปทาง Readyplanet แล้ว ตอนนี้ถ้าอยากจะดู Conversion Rate ก็สามารถคำนวนเองแบบแมนนวลไปก่อนด้วยการดาวน์โหลดไฟล์ Excel ลงมาใส่สูตรแทน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างรีพอร์ทของเว็บไซต์ Google Analytics Thailand หลังจากทดลองติดตั้ง R-Widget

R-widget เครื่องมือวัดผลจำนวนการทักแชท

Cookie Consent ของดีและฟรีที่ให้มาพร้อมกับ R-Widget

ในส่วนของ R-Widget นั้น ยังมีฟีเจอร์ย่อยที่น่าสนใจอยู่อีกตัวหนึ่งซึ่งถือว่าจำเป็นและสำคัญมากในตอนนี้ คือเรื่องของการที่เว็บไซต์ทุกเว็บจะต้องรักษาของมูลส่วนบุคคลที่กำลังจะมีการบังคับใช้ตามกฏหมาย PDPA ในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยที่เราสามารถเซ็ตติ้งเพื่อเปิดใช้งาน Cookie Consent ด้วยการคลิ้กเพียงคลิ้กเดียวผ่าน R-Widget และเมื่อมีการเปิดใช้งานแล้ว เวลาที่มีคนเข้าเว็บไซต์ก็จะมีแถบขึ้นที่ด้านล่างของเว็บไซต์เพื่อแจ้งให้ทราบเรื่องของการเก็บและการใช้งานข้อมูลของผู้เข้าชม ซึ่งในตอนนี้ Cookie Consent ของ R-Widget จะเป็นลักษณะกึ่งบังคับว่าหากมีการใช้งานเว็บไซต์ ถือว่ายอมรับให้เก็บข้อมูลและนำไปใช้งานได้ (หลายๆ เว็บไซต์ก็ยังเป็นลักษณะนี้อยู่) ผมเองได้สอบถามไปทาง Readyplanet ในเรื่องนี้แล้ว ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า Cookie Consent ในระบบ R-Widget นั้นในขณะนี้ถือว่าสอดคล้องตามกฏหมาย PDPA แต่แบรนด์เจ้าของเว็บไซต์เองก็มีหน้าที่ต้องจัดเก็บข้อมูลและใช้งานข้ออย่างถูกต้องตามข้อกำหนดของ PDPA ด้วยจึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ PDPA ซึ่งทาง Readyplanet ย้ำว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และกำลังพัฒนาฟีเจอร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ PDPA ออกมาให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ก็ถือว่า R-Widget ถูกออกแบบมาอย่างรัดกุมทีเดียว นอกจากได้ใช้งานระบบ Chat Center แล้วยังมีฟีเจอร์ Cookie Consent แถมมาให้ด้วย แบบนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องไปซื้อเครื่องมือจัดการ Cookie Consent เพิ่มอีกแล้ว 🙂 ภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างเมื่อเปิดใช้งาน Cookie Consent เวลาที่มียูสเซอร์เข้าใช้งานเว็บไซต์หน้าเว็บจะแสดงเป็นแถบแจ้งเตือนไว้ด้านล่างของหน้าจอ

pdpa cookie consent ระบบคุ้กกี้สำหรับการยินยอมให้เก็บข้อมูล

สรุปข้อดีของ R-Widget

  1. สามารถบริหารจัดการช่องทางการแชทต่างๆ ไว้ในที่เดียว ไม่จำเป็นต้องเปิดจอค้างไว้หลายๆ หน้าจอ
  2. ลูกค้าที่แชทเข้ามาไม่ว่าช่องทางใด ระบบจะติดแท็กไว้ให้ว่ามาจาก Facebook Messenger, LINE OA หรือช่องทางอื่นๆ
  3. ระบบสามารถเก็บ Lead ได้โดยตรงผ่าน R-Widget และส่งต่อไปที่ระบบ R-CRM เพื่อติดตามลูกค้าเพื่อปิดการขายต่อได้ ไม่ต้องเสียเวลารวบรวม Lead จากหลายๆ แพลตฟอร์มมาทำงานต่อให้วุ่นวาย
  4. มีฟีเจอร์ Cookie Consent ซึ่งกำลังเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกเว็บไซต์จะต้องปฏิบัติตามกฏหมาย PDPA เรียกว่าเหมือนได้ของแถมที่มีประโยชน์ และไม่ต้องเสียเงินไปซื้อเพิ่ม หรือเสียเวลาทำเอง
  5. สามารถสร้าง Pop-up Banner บนหน้าเว็บได้ง่ายและสะดวกมาก เพียงไม่กี่คล้ิกผ่านเครื่องมือ R-Widget ก็สามารถที่จะโปรโมทแคมเปญสินค้าได้แล้ว อันนี้ก็ดีจริงๆ

R-CRM ระบบจัดการ Lead และช่วยปิดการขายให้ง่ายขึ้น

R-CRM เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อทำ CRM โดยเฉพาะ ซึ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการ Lead ที่ได้มาจาก R-Widget อีกที โดย Lead ที่ได้มานั้นจะเกิดจากการที่ลูกค้าทักผ่านช่องทาง Facebook Messenger, LINE OA หรือ Chatday(ระบบแชทของ R-Widget) และแอดมินผู้ดูแลจะเป็นคนเลือกแอดลูกค้าแต่ละรายเข้าไปใน Sales Pipeline เอง ซึ่งระบบจะเตรียม Sales Pipeline ตั้งต้นพร้อมให้ใช้งานอยู่แล้ว หรือถ้าเราต้องการจะออกแบบและสร้าง Pipeline สำหรับธุรกิจของเราขึ้นมาเองก็ทำได้เช่นกัน ตัวอย่างภาพด้านล่างนี้จะเป็นหน้าตาของ R-CRM ซึ่งส่วนการจัดการลูกค้าที่ทักแชทเข้ามานั้นจะอยู่ทางด้านซ้ายมือโดยแสดงเป็นลิสต์รายชื่อในช่องผู้สนทนา ส่วนหน้าจอหลักจะเป็นส่วนของ Sales Pipeline ที่แสดง Lead ตามสถานะต่างๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่

R-crm readyplanet

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ข้อดีของ R-CRM คือเป็นส่วนที่ใช้จัดการการสนทนาที่เข้ามาจากช่องต่างๆ ไว้ในที่เดียว ซึ่งทำให้แอดมินของแบรนด์สามารถทำงานได้สะดวกมากกว่าเดิม ย่ิงไปกว่านั้นในกรณีลูกค้าแชทเข้ามาถามเรื่องสินค้าและแสดงความสนใจที่จะซื้อ แอดมินจะสามารถเพิ่มผู้ที่สนทนานั้นเข้าไปเก็บเป็น New Lead ใน Sales Pipeline ได้ทันที ตามภาพด้านล่างนี้ เวลาที่มีคนทักเข้ามาถามเรื่องคอร์สเรียน ผมก็สามารถคลิ้กรายชื่อในกรอบผู้สนทนาเพื่อตอบคำถามได้ทันที ข้อดีของระบบนี้คือเมื่อตอบคำถามแล้วระบบจะส่ง SMS ไปยังผู้สนทนาซึ่งทำให้กรณีที่ผู้สนทนาถามค้างไว้แล้วออฟไลน์ไปก็จะยังได้รับแจ้งเตือน ที่สำคัญคือกรณีเป็นกรณีที่มีแนวโน้มจะลงคอร์สเรียนแล้ว ผมก็สามารถที่จะกดติดตามเพื่อเพิ่มรายชื่อนี้เข้าไปใน Sales Pipeline ของระบบ R-CRM ในสถานะ New Lead เพื่อติดตามต่อไปได้ อันนี้ดีมากจริงๆ ตัวอย่างภาพด้านบนนี้ผมทดลองทักแชทเข้ามาผ่าน R-widget แล้วก็เพิ่มชื่อตัวเองเข้าไปใน Pipeline ที่แสดงในหน้าจอหลัก ก็ถือว่าสะดวกดี ส่วนในการใช้งานจริงแล้วนั้น ใครที่ทักเข้ามาถามเรื่องทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับการขายเราก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มชื่อเข้ามาใน Sales Pipeline หรือถ้าจะให้ดีเราก็อาจจะสร้าง Pipeline อีกอันหนึ่งไว้สำหรับจัดการเก็บลิสต์กลุ่มยูสเซอร์ที่รอการตอบคำถามก็ได้

R-crm ระบบ Chat และระบบจัดการ Lead ที่มีประสิทธิภาพ

หลังจากที่เราเพิ่มรายชื่อเข้าไปใน Sales Pipeline ของ R-CRM แล้ว Lead ของเราจะเริ่มต้นที่สถานะ “ใหม่” หรือ New Lead จนกว่าที่ทีมขายจะติดต่อพูดคุยผ่านแชท หรือจะโทรคุยผ่านหมายเลขมือถือที่ลูกค้าให้ไว้ก่อนเข้าใช้งานระบบแชท ถ้าลูกค้าแสดงความสนใจอยากให้ทำใบเสนอราคา เราก็จะเริ่มปรับสถานะลูกค้าไปสู่ในขั้นที่ 2 คือ “นำเสนอ” ซึ่งข้อดีก็คือ เราสามารถที่จะออกใบเสนอราคาโดยตรงผ่านระบบ R-CRM ได้ด้วย ตามภาพด้านล่างนี้ และเราก็จะอัพเดทสถานะของลูกค้าไปตามสเต็ป เมื่อลูกค้าเข้าใกล้ขั้นตอนการตัดสินใจซื้อจนกระทั่งถึงสถานะ “ปิดการขาย” ซึ่ง Pipeline มาตรฐานที่ระบบ R-CRM จะแบ่งไว้เป็น 4 ขั้นตอนดังนี้

ใหม่ > นำเสนอ > ต่อรอง > ปิดการขาย

แต่อย่างที่กล่าวไปแล้ว ถ้า Pipeline ที่ระบบเตรียมให้นั้นยังไม่ตรงกับความต้องการในการใช้งานของเรา เราก็สามารถที่จะสร้าง Pipeline แบบที่ต้องการขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน

ระบบจัดการ Lead และระบบ Sales Pipeline ที่จะช่วยให้การจัดการ Lead เป็นเรื่องง่าย

จุดเด่นอีกจุดหนึ่งของระบบ R-CRM ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ระบบ R-CRM มีฟีเจอร์ที่ให้เราเพิ่มรายการสินค้าเข้าไปในระบบ และมีฟีเจอร์ที่ดึงสินค้านั้นออกมาทำเป็นใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ เพื่อส่งอีเมล์ผ่านหน้าจอหน้าจอ R-CRM ไปถึงลูกค้าได้ทันที พูดได้ว่า R-crm นั้นเป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาครอบคลุมการบริหารจัดการลูกค้าไว้ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของระบบ Readyplanet Marketing Platform

สรุปข้อดีของ R-CRM

  1. ระบบแชทที่รวบรวมทุกช่องทางไว้ในที่เดียว โดยเป็นการทำงานร่วมกับ R-widget
  2. ระบบเก็บ Lead ที่แยกเก็บผู้สนทนาที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าไว้เพื่อติดตามการขาย
  3. ระบบ Pipeline ที่ทำให้การจัดการลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความยืดหยุ่นในการปรับ Pipeline ให้เหมาะกับแต่ละธุรกิจ
  4. ระบบออกเอกสารการขายต่างๆ เช่นใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ จนกระทั่งปิดการขาย

Readyplanet Marketing Platform มีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจอีก?

จริงๆ ต้องบอกว่ายังมีอีกหลายฟีเจอร์มากที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เพราะถ้ากล่าวถึงทั้งหมดคงต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก แต่มีฟีเจอร์อีกฟีเจอร์หนึ่งที่ถือว่าน่าสนใจทีเดียว นั่นคือฟีเจอร์ที่ชื่อว่า R-Dynamic ฟีเจอร์นี้เป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อการทำโฆษณาแบบ Dynamic Remarketing โดยตรง ซึ่งเป็นวิธีการทำโฆษณาที่ถือว่ามี Conversion Rate ค่อนข้างดี เพราะเป็นการส่งโฆษณาแบบเฉพาะเจาะจงสินค้าที่ยูสเซอร์แต่ละคนเคยเข้าดูบนเว็บไซต์ออกไป แต่การทำโฆษณาแบบ Dynamic Remarketing นั้นหลายคนคงรู้ดีว่าการเซ็ตแคมเปญลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีความเทคนิคอล และต้องอาศัยทีม Dev ช่วยในเรื่องการโค้ดดิ้งด้วย ซึ่ง R-Dynamic ก็ถูกสร้างขึ้นมาช่วยแก้ปัญหานี้โดยตรงเพื่อให้เจ้าของแบรนด์เจ้าของเว็บไซต์ที่อาจจะยังไม่พร้อมหรือไม่ถนัดในเรื่องเทคนิคอลให้สามารถทำโฆษณาแบบ Dynamic ได้อย่างงายดาย

สร้างโฆษณาแบบ dynamic remarketing ได้เองง่ายๆ ด้วย R-dynamic

จากการทดลองใช้เบื้องต้นนั้นก็ถือว่า การใช้งาน R-Dynamic ทำได้ค่อนข้างง่าย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องเทคนิคอลก็สามารถทำได้ด้วยการคล้ิกตามขั้นตอนเพียงไม่กี่ขั้นตอน จุดสำคัญที่จะต้องทำคือ การลิงค์ระบบ R-Dynamic เข้ากับบัญชี Google Ads ของเราเท่านั้นเอง หลังจากตั้งค่าเริ่มต้นใช้งานเสร็จ ระบบก็จะไปดึงภาพและเนื้อหาแต่ละหน้าออกมาสร้างเป็นแคมเปญรอไว้ให้โดยอัติโนมัติ(ตัวอย่างตามภาพด้านบน) ถ้าเราอยากจะทำ Dynamic Remarketing กับสินค้าหน้าไหน ก็เพียงแค่เปิดใช้งานแคมเปญนั้นเพียงเท่านั้นเอง ระบบโฆษณาแบบ Dynamic Remarketing ก็จะเริ่มต้นทำงานได้ทันที ซึ่งนอกจาก Google Ads แล้วระบบ R-Dynamic ก็สามารถทำผ่าน Facebook Ads ได้เช่นกันด้วย ดีใช่ไหมครับ:)

ต้องยอมรับว่าโดยรวมของการทดลองใช้งาน Readyplanet Marketing Platform โดยเฉพาะส่วนของ R-Widget และ R-CRM มาประมาณ 1 อาทิตย์ ถือว่าทาง Readyplanet ทำออกมาได้ดีและใช้งานง่ายทีเดียว ยิ่งโดยเฉพาะกับแบรนด์สินค้าบริการที่จะต้องมีการพูดคุยสอบถามรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับสินค้าก่อนตัดสินใจ หรือแบรนด์ที่ยอดขายหลักมาจากช่องทางการแชทผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ R-widget และ R-CRM ถือว่าเป็นคำตอบที่ตอบโจทย์นี้โดยตรง อย่างไรก็ตาม เหมือนที่ผมพูดอยู่บ่อยๆ ครับ อะไรก็ตามที่ผมเขียน อ่านแล้วก็อย่าเพิ่งเชื่อไปทั้งหมด การทดลองด้วยตัวเองย่อมดีกว่าครับ ใครที่สนใจและอยากทดลองใช้งานจริงเหมือนผมก่อนที่จะตัดสินใจก็สามารถสมัครเพื่อทดลองใช้งานได้ฟรีที่ลิงค์นี้ ทดลองใช้ฟรี ระบบ R-Widget และ R-CRM

Leave a Reply