การทำ on-page SEO อย่างถูกต้อง เพื่ออันดับที่ดีขึ้นด้วย 14 เทคนิคง่ายๆ

On-Page-SEO

การทำ On-Page SEO ถือเป็นหนึ่งใน ปัจจัยสำคัญของการทำ SEO และเป็นส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็น เรื่องของวิธีการเขียน เนื้อหาที่เขียน หัวข้อของบทความ ย่อหน้าแรก คำบรรยายภาพ และรวมไปถึงการออกแบบวางโครงสร้างของเว็บไซต์ และรูปแบบของ URL ดังนั้นแล้วการที่จะไปว่ากันถึงขั้นตอนการทำ SEO on-page อยากเน้นย้ำตรงนี้กันก่อนว่า เรื่องของการวางโครงสร้างเว็บไซต์ และโครงสร้าง HTML เป็นส่วนที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างแรกก่อน เพราะโครงสร้างของเว็บไซต์ที่ดีเหมือนเป็นการตอกเสาเข็มทำให้พื้นฐานมีความแข็งแรกก่อน หลังจากนั้นส่วนของเนื้อหา (content) การทำ On-Page และ Off-Page SEO จะเป็นส่วนที่ค่อยตามมาทีหลัง

14 เทคนิคสำคัญของการทำ On-Page SEO ให้ถูกใจทั้ง Search Engines และ Users

  1. Title Tag ควรมี keyword อยู่ด้วย
    ส่วนนี้ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญมากของการทำ On-Page SEO และเป็นส่วนที่ควรจะต้องมี keyword ที่เราต้องการทำ SEO อยู่ในส่วนนี้ ถ้าเป็นไปได้ keyword ควรจะเป็นคำแรกของ Title Tag ได้ยิ่งดี สำหรับ CMS ทั่วไปโดยเฉพาะ wordpress ส่วนนี้จะเป็นส่วนเดียวกันกับการตั้งชื่อบทความ (Headline) ดังนั้นการตั้งชื่อบทความจึงเป็นที่ต้องให้ความใส่ใจอย่างมากในการทำ SEO
  2. อย่าลืมคิดถึง Long Tail keyword 
    Long tail keywords คือกลุ่มคำหรือวลีที่มี keyword หลักรวมอยู่กับคำอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสร้างความหลากหลายให้กับคีย์เวิร์ด และจะทำให้คีย์เวิร์ดเหล่านี้มีโอกาสติดอันดับสูงๆ ได้ง่ายกว่าคำหลัก เช่น การเพิ่มเติมความว่า “รีวิว” “2016” หรือ “ราคา” รวมกับคีย์เวิร์ดหลักในตอนที่เขียน Title Tag เป็นต้น อ่านเพิ่มเติม Keyword Research ขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO
  3. สร้าง URL ให้ Search Engines และ Users เข้าใจได้ง่าย
    ควรหลีกเลี่ยง URL ที่เต็มไปด้วยอักขระที่มีแต่โปรแกรมเมอร์เท่านั้นที่อ่านเข้าใจ URL ที่ดีควรจะมีความหมายซึ่งก็หมายถึงควรจะมีคีย์เวิร์ดรวมอยู่ใน URL ด้วยจะดีมาก เพราะนอกจากจะเป็นการทำ SEO-Friendly URLs แล้วยังถือว่าเป็นการทำ User-Friendly URLs ด้วย
  4. ใช้แท็ก <H1> ในส่วนของ Headline ของแต่ละหน้า
    <H1> เป็นแท็กที่ช่วยบอกให้ Search Engine รู้ว่าเนื้อหาสำคัญของหน้านั้นคืออะไร แน่นอนว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรมี keyword อยู่ด้วย
  5. ใช้แท็ก <H2> ในส่วนของ Subheading
    คล้ายๆ กับแท็ก <H1> แต่แท็ก <H2> จะช่วยบอกให้ Search Engine ทราบถึงหัวข้อสำคัญรองลงมาจาก Headline
  6. ให้ความสำคัญกับ Paragraph แรกของเนื้อหา
    ในย่อหน้าแรกนั้นโดยเฉพาะ 160 ตัวอักษรแรกควรที่จะมีคีย์เวิร์ดหลักรวมอยู่ด้วย เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรจำต้องทำให้เป็นประจำสม่ำเสมอเวลาที่เขียนบทความเนื้อหาอะไรก็ตาม เนื่องจากโดยปกติถ้าหาก Google ไม่พบ Meta description แล้ว Google มักจะดึงข้อความในย่อหน้าแรกไปแสดงบนผลการค้นหา ซึ่งการมีคีย์เวิร์ดอยู่ในผลการค้นหาย่อมเป็นสิ่งที่ดี
  7. การตั้งชื่อไฟล์รูปภาพให้มีความหมาย
    ควรที่จะตั้งชื่อไฟล์ให้มีความหมายหรือมีคีย์เวิร์ดรวมอยู่ด้วย ไม่ควรใช้ชื่อไฟล์ที่ตั้งมาจากกล้อง เนื่องจากการจะให้ Google เข้าใจความหมายรูปภาพนั้น ส่วนหนึ่งอยู่ที่ชื่อไฟล์ ซึ่งจะส่งผลไปถึงผลการค้นหาบน Google Image Search ที่ดีขึ้นด้วย
  8. ใช้แท็ก alt ในการอธิบายภาพ
    Alt แท็กเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยบอก Google ให้เข้าใจความหมายของรูปภาพได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นควรที่จะต้องใส่คีย์เวิร์ดในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน
  9. ใช้ Internal Link เชื่อมโยงไปยังเนื้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในเว็บไซต์ของเรา
    การทำ Internal Link นอกจากจะช่วยให้ Users ได้รับเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่กำลังอ่านอยู่แล้ว ยังช่วยให้ Search Engine เข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาที่เชื่อมโยงกันภายในเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น
  10. ใช้ Outbound Links เพื่อเชื่อมโยงไปเนื้อหาภายนอกเว็บไซต์
    หลายคนมักจะสนใจแต่การสร้าง Inbound Links หรือ Backlinks แต่การทำ Outbound Links เพื่อเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาที่สอดคล้องกันจะเป็นการช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาในหน้าของเราได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน บางบทความในต่างประเทศรายงานว่าหน้าเว็บที่มี Outbound Links มีโอกาสที่จะมีอันดับสูงกว่าหน้าเว็บที่ไม่มี Outbound Links
  11. เขียนบทความให้มีความยาว
    มีผลสำรวจจากเว็บไซต์ต่างประเทศพบว่าเนื้อหาที่มีความยาวมักจะมีอันดับที่ดีกว่าเนื้อหาสั้นๆ ในบทความระบุว่าอันดับหนึ่งถึงสามในผลการค้นหามักจะมีความยาวประมาณ 1,900 – 2000 คำ แต่อย่างไรก็ตามให้ต้องคำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหาด้วย ไม่ใช่เน้นที่ความยาวแต่เพียงอย่างเดียว เพราะถ้าเนื้อหาไม่มีคุณภาพแล้ว ความยาวก็ไม่ได้ช่วยอะไร
  12. Responsive เว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็น
    อย่างที่ทราบกันดีว่าส่วนใหญ่แล้ว traffic ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ในเวลานี้มากกว่า 50% มาจาก mobile device ดังนั้นหากเว็บไซต์ของเราไม่รองรับอุปกรณ์เหล่านี้ อันดับการแสดงผลบนอุปกรณ์ Mobile ก็จะต่ำลงตามอัลกอริธึมของ Google ที่จะให้ความสำคัญกับ User experience ค่อนข้างมาก
  13. ความเร็วของการโหลดหน้าเว็บไซต์
    ปัจจัยเรื่องความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google กล่าวเอาไว้ในเอกสารแนะนำการทำ Search Engine Optimization และการระบุไว้ในเอกสารอย่างชัดเจนเช่นนี้ทำให้กล่าวได้ว่า เรื่องความเร็วในการโหลดหน้าเว็บจะมีผลต่อการจัดอันดับผลการค้นหาอย่างแน่นอน โดยที่คะแนนความเร็วหรือ Page speed score นั้นสามารถตรวจสอบได้จาก Google Analytics หรือจะใช้เครื่องมือในการตรวจสอบที่ Google มีให้ใช้งานอย่าง Google Page Speed Test ก็ได้เช่นกัน
  14. พิ่มปุ่ม Social Sharing Buttons บนหน้าเว็บ
    แม้ว่าทาง Google จะออกมาบอกเองว่า Social Signals ไม่ได้มีผลต่อการจัดอันดับผลการค้นหา แต่การมีปุ่ม Share นั้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเห็นบทความหรือเนื้อหาของเราให้มากขึ้น รวมไปถึงจำนวน Traffic ที่จะตามมา และการมี Traffic ที่มากขึ้นนั้นถือเป็น Signal อย่างหนึ่งที่บอกถึงคุณภาพได้เช่นกัน และหากเนื้อหาที่ได้รับการ Share นั้นดีพอ ก็เป็นไปได้ที่มีเว็บไซต์อื่นสร้าง Backlink กับมาที่บทความของเราได้เช่นกัน

ลองนำไปปรับ On-Page SEO กันดูนะครับ แม้ว่าบางข้ออาจจะเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเว็บดีเวลอปเปอร์ในการช่วยทำให้ก็ตาม แต่อีกหลายๆ ข้อก็ทำได้ไม่ยากและสามารถเริ่มต้นได้ทันทีเลย
Happy Optimization 🙂

2 thoughts on “การทำ on-page SEO อย่างถูกต้อง เพื่ออันดับที่ดีขึ้นด้วย 14 เทคนิคง่ายๆ

Leave a Reply