เคยคิดมานานว่าอยากจะเขียนเรื่องเล่าส่วนตัวในบล็อกนี้ที่จะไม่พูดถึงโปรไฟล์ ประวัติการทำงาน ผลงาน หรือความสำเร็จ(ที่ก็ไม่ค่อยจะมี) แต่อยากจะเขียนเรื่องพีคๆ ในชีวิตที่ส่งผลทั้งในแง่ดีและไม่ดีต่อชีวิตวันนี้ให้คนที่หลวมตัวเข้ามาอ่านพอจะได้ประโยชน์บ้างไม่ได้ประโยชน์บ้าง:) บทความนี้ขอถือโอกาสแนะนำตัวแบบคนที่รู้จักกันคนหนึ่ง และเล่าเรื่องส่วนตัวที่ผมจะไม่มีทางลืมให้ฟังกัน
ผมเกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง-ล่าง
ก็ตามนั้นแหละครับ ไม่ได้รวยอะไร แต่ชีวิตมีความสุขอบอุ่นดี ความสุขเล็กๆ อย่างหนึ่งที่จำได้ไม่ลืมเลยคือ การยืนรอพ่อขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้านพร้อมกับหมากฝรั่งหนึ่งกล่องในเช้าวันเสาร์ ฟินเฟ่อร์ครับโมเม้นท์นั้น
การเดินทางของครอบครัวที่มีกัน 5 คนจะไปด้วยรถเวสป้าคันเดียว
ก็อย่างที่บอกครับ ไม่ได้รวยอะไร เวสป้าที่พ่อใช้ทำงานจะใช้เป็นพาหนะเดินทางของทั้งครอบครัวเวลาไปไหนมาไหนในวันหยุด นึกภาพนะครับ พ่อขับ แม่นั่งซ้อนท้าย พี่สาวนั่งตรงกลาง ส่วนผมกับน้องชายยืนบนที่ว่างด้านหน้ารถเวสป้า โอ้โห้ สนุก ตื่นเต้นทุกครั้งที่ต้องเดินทาง มีครั้งหนึ่งตำรวจเรียก และบอกว่าพ่อทำผิดเพราะบรรทุกเกินจำนวน 5555 เอาไงล่ะ ก็ไม่ได้รวยนี่ครับ สุดท้ายตำรวจคงเห็นใจก็ปล่อยให้ขับกลับบ้านต่อไป เรื่องสู้ชีวิตนี่ต้องยกให้พ่อผมนะ ผมนี่อ่อนไปเลยที่เดียว
ผมโดนไฟฟ้าช็อต 3 ครั้ง !!!!
ไม่ตายนี่บุญแล้วนะครับ สองครั้งแรกตอนสัก 10 ขวบได้มั๊งครับ ตอนนั้นยังไม่ที่ติดที่ตัดไฟ ดีที่พ่อมีสติไปคว้าผ้าขนหนูแห้งมาเกี่ยวตวัดผมออกมาทั้งสองครั้ง ครั้งที่สามนี่อยู่บ้านคนเดียว ไฟฟ้าช็อตเพราะกำลังทำกล่องไฟดูสไลด์เอง ครั้งนี้รอดได้เพราะติด safe-t-cut ถ้ายังไม่ติดนี่ตายแน่นอน! ผมว่าผมคงทำบุญมาประมาณนึงนะ ทุกวันนี้ก็จะพยายามใส่บาตรทุกเช้าวันเสาร์ และทำบุญทุกครั้งที่มีโอกาส
เดินจากสะพานควายไปเรียนที่จุฬาฯ
ก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม คือจำได้เลยว่าตอนนั้นหลับตื่นกี่รอบ รถก็แทบจะไม่ได้เคลื่อนไปไหนไกล รถติดมากจนทนไม่ได้ เดินลงเลย เดินไปเรื่อยๆ เดินจนรู้สึกว่ารถไม่ติดแล้ว แล้วรถที่เราเดินลงมาก็ขับผ่านเราไป ก็ยังบ้าเดินต่อไปจนถึงจุฬาฯ (เหนื่อยมาก) สรุปคือ มีเป้าหมายในชีวิตเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องดูบริบทรอบข้างด้วย อย่าดึงดัน อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะจะถึงเป้าหมายช้าจนไม่ทันการณ์
เกือบโดนรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีหนึ่ง
เทอมแรกนี่เกรด 1.7 เลย สนุกอยู่ทั้งเทอม เกรดออกมานี่เครียดเลย โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง แล้วพอเกรดเทอมแรกแย่ขนาดนั้น เรียนจบก็เลยเกรดไม่สวยเลย แต่เอาจริงๆ เกรด ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตจริงตอนทำงานเลย ผมบอกได้เลยการเริ่มงานวันแรก เหมือนกันเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง สำหรับผมแล้วแนะนำว่านอกจากเลือกงานที่ชอบแล้ว สำคัญคือต้องเลือกอยู่กับเจ้านายที่ดีและเก่งด้วย สิ่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณได้เลย
วัย 27 ไม่มีเงินเก็บสักบาท ต้องขอเงินพ่อแม่กินข้าว
เป็นเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใคร เอาจริงๆ คงไม่เกิดขึ้นกับใคร ตอนนั้นว่างงาน และเรียกได้ว่าปัญหาชีวิตเต็มไปหมด ไม่ขอเล่าละกันนะครับ ไม่ค่อยมีสาระเท่าไร สรุปว่าที่เขาบอกว่า เงินทองเป็นของนอกกาย นั่นก็ถูกครับ แต่ควรมีเก็บไว้บ้างเพื่อใช้ในยามจำเป็นจะได้ไม่ต้องขอพ่อแม่กิน เงินซื้อความสุขไม่ได้นี่ไม่จริงนะครับ ไม่มีเงินนั้นเดือดร้อนตัวเองและคนรอบข้างไปด้วย ทุกข์กันไปหมด ส่วนความความสุขทางใจสร้างได้จริงครับ แต่สุขใจแล้วไม่มีกินนี่แย่กว่าเยอะ ในวัยเริ่มต้นเก็บเงินให้มากๆ เข้าไว้ก่อน
เปลี่ยนสายงานในวัย 28
เรื่องนี้คือสำคัญสุดในชีวิตแล้ว และส่งผลโดยตรงต่อชีวิตวันนี้ หลังจากเรียนจบก็ทำงานเป็นสถาปนิกอยู่ 3 ปี ก็ทำได้นะครับแต่ก็ไม่ได้ชอบมาก ออกมาว่างงานเกือบปี แล้วก็มาเริ่มต้นงานใหม่ที่ OfficeMate และที่นี่เป็นที่ที่พาผมเข้าสู่วงการ E-commerce และ Digital จนถึงทุกวันนี้ และก็กลายเป็นงานที่ชอบมากๆ ใครที่รู้สึกว่าไม่อินกับงานถึงขนาดอยากจะหมกมุ่นอยู่กับมันตลอด ผมว่าถึงเวลาที่ต้องคิดเรื่องเปลี่ยนงานนะครับ มีคนกล่าวว่า การที่เรายังทำอะไรไม่สำเร็จเป็นเพราะเรายังหมกมุ่นกับมันไม่มากพอ อันนี้เรื่องจริง แต่เราจะหมกมุ่นกับมันได้เราก็ต้องรักในสิ่งที่ทำก่อน
เหมือนถึงจุดนี้ชีวิตจะเข้าที่เข้าทางใช่ไหมครับ เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น หลายครั้งก็มีที่อยากจะลาออกเหมือนกัน แต่เพราะภาระเยอะก็ต้องคิดมากพอสมควร สุดท้ายก็ไม่เคยได้ลาออก แต่นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้นะครับ การลาออกไปทำอย่างอื่นหรือทำธุรกิจของตัวเองมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เรือเล็กที่ออกจากฝั่งในขณะที่ยังไม่พร้อม หลายลำก็ต้องกลับมาทำงานประจำอีกครั้ง ควรมั่นใจว่าพร้อมจริงๆ อย่าใช้แค่ความหึกเหิมเท่านั้น เรื่องหนึ่งที่ผมมักจะบอกกับทีมเสมอคือ คนเราไม่ควรทำงานอย่างเดียว และไม่ควรมีรายได้ทางเดียว เพราะถ้าเรามีรายได้หลายทาง การลาออกไปเริ่มสิ่งใหม่จะง่ายกว่าเดิม
ยิ่งให้ยิ่งได้
เมื่อเริ่มทำงานด้าน Digital Marketing ซึ่งเป็นเรื่องใหม่มากในช่วงนั้น ความรู้ต่างๆ ยังหาได้ยาก จะหันหน้าไปถามใครก็ไม่ค่อยจะมี ศึกษาเองอย่างเดียว แล้วพอถึงวันหนึ่งที่เราคิดว่าเราพอจะมีความรู้บ้างในระดับหนึ่งก็อยากจะแชร์สิ่งที่รู้และคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่เริ่มต้นศึกษาเพราะเข้าใจถึงปัญหาของคนที่เริ่มศึกษาเรื่องเหล่านี้ดี ก็เลยเริ่มเขียนบล็อกๆ นี้ขึ้นมา เขียนไปเขียนมาก็มีคนชอบและติดตามถึงปัจจุบัน และสุดท้ายก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้จักมากขึ้น ได้มีโอกาสดีๆ เกิดขึ้นมากมายจากจุดเร่ิมต้นของ ‘การให้’ นี่เอง ผมเองบอกคนที่รู้จักทุกคนเสมอว่า ในยุคนี้แม้ทุกคนจะยังไม่มีทางมี ‘โอกาส’ เท่าเทียมกันได้ แต่ ‘ช่องว่าง’ ของโอกาสมันน้อยลงไปมากๆ คนธรรมดาคนหนึ่งสามารถเป็นคนที่ทุกคนรู้จักได้ถ้ามีความสามารถมากพอ แต่นั่นก็ต้องเริ่มจากการให้เสียก่อน อย่าคิดแต่จะได้เพียงอย่างเดียว
ทุกเหตุการณ์ในชีวิตหล่อหลอมตัวเราให้เป็นเช่นทุกวันนี้ ขอบคุณรอยต่อเล็กๆ ระหว่างทางเดินที่ทั้งทำได้ดี ทำพลาดไปให้เราได้เรียนรู้และเติบโต