SEO คือการสร้าง User Experience ให้ดีกว่าความคาดหวัง

พูดกันตามตรงแล้วต้องบอกว่า เรื่อง SEO เป็นเรื่องที่พอเขียนไปสักพักนึงก็จะรู้สึกว่าไม่รู้จะเขียนอะไรต่อไปดี ใครที่สนใจเรื่องนี้และติดตามอ่านเรื่อง SEO จากบทความทั้งไทยและเทศอย่างต่อเนื่องมาระยะหนึ่งน่าจะรู้สึกคล้ายๆ กันว่า เนื้อหาดูออกจะเป็นเรื่องเดิมๆ ที่เขียนกันคนละมุมมองเสียมากกว่า

แล้วเรื่องเดิมๆ ที่เราต่างอ่านกันมามากมาย อะไรคือแก่นของมัน SEO ที่แท้คืออะไร?

ถ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ ผมอยากให้ลองนึกดูว่า ถ้าหากมีเพื่อนสนิทของเรามาขอความเห็นเรื่องหนังว่าช่วงนี้มีหนังอะไรที่น่าดูบ้าง หรือร้านอาหารชิคๆ ในเชียงใหม่มีร้านไหนแนะนำ สิ่งที่เราทำคือเราจะแนะนำร้านที่ดีที่สุดจาก “ประสบการณ์” ของเราเองที่เคยดูหนังบางเรื่องมา หรือเคยไปกินร้านอาหารบางร้านมา ซึ่งเราย่อมจะแนะนำสิ่งที่เราคิดว่า “ดีที่สุด” ให้กับเพื่อนของเราเพราะเราไม่อยากให้เขาผิดหวัง จริงไหมครับ

Google เองก็ไม่อยากให้คนใช้งาน Search ผิดหวังเช่นกัน เพราะ Google มองว่าผู้ใช้งาน search นั้นเป็นเพื่อนสนิทที่ฝากความไว้ใจความเชื่อถือกับ Google ดังนั้นจึงต้องพยายามแนะนำและส่งมอบเนื้อหาที่ “ดีที่สุด” ที่ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหาจาก “ประสบการณ์”  ของ “ผู้ค้นหาด้วยกันเอง” ไม่ใช่ประสบการณ์ของ Robot

ที่กล่าวเช่นนี้เป็นเพราะว่า ประสบการณ์ของ user ด้วยกันเองนั้นมีความน่าเชื่อถือมากกว่า และเป็นประสบการณ์ร่วมที่เกิดขึ้นจากคนกลุ่มใหญ่ จึงค่อนข้างจะเชื่อได้ว่ามีความถูกต้องเหมาะสมตรงกับความต้องการของ user คนอื่นๆ ด้วย และในมุมมองของผม เรื่อง “user experience” นั้นถือเป็น factor ที่ค่อนข้างเหมาะสมและควรให้น้ำหนักมากมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปในอนาคต เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ผมจะพยายามย้ำอยู่เสมอว่า

การทำ SEO คือการนั้นควรให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของ User มากกว่า Bot!

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ User Experience Signal โดยตรงคือ Dwell Time หรือเวลาที่ใช้อยู่บนหน้าเว็บไซต์หลังจากคลิ้กลิงค์มาจากหน้าการค้นหาบน Google ซึ่งค่านี้ยิ่งสูงแสดงว่า User มีการใช้เวลาอ่านอยู่บนหน้าเว็บไซต์ของเรานาน และยิ่งนาน หมายความว่าเนื้อหาในหน้านั้นมีประโยขน์ น่าสนใจพอที่จะชวนให้ User อ่านต่อไปได้เรื่อยๆ จากรีเสิร์ซในต่างประเทศพบว่า ส่วนใหญ่หน้าที่มี Time on page สูง หน้าๆ นั้นมักจะมี Ranking ที่ดีกว่าหน้าที่มี Time on page ต่ำเสมอ

google-analytics-time-on-page

ภาพด้านบนเป็นการดูค่า Time on page ใน Google Analytics หากต้องการดูรีพอร์ทนี้สามารถเข้าไปที่เมนู Behavior>Site content>All pages

และด้วยปัจจัยทางด้าน User Experience Signal นั้นทำให้หลายครั้งเราพบว่าบางเว็บไซต์หรือบางบล็อกที่คนทำอาจจะไม่มีความรู้ทางด้าน SEO อะไรมากมายนัก สามารถมีอันดับที่ดีบนผลการค้นหาได้ด้วยการมีเนื้อหาที่ดีมีประโยชน์ต่อผู้ที่เข้ามาอ่านจริงๆ

แล้ว Technical SEO ยังสำคัญอยู่ไหม?

ตอบได้เต็มปากว่า ยังสำคัญมากเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นการทำ HTTPS หรือการทำ Responsive เว็บไซต์ เป็นต้น เรื่องเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อ Ranking อย่างชัดเจน แต่… ถ้าเราไตร่ตรองให้ละเอียดแล้ว เราจะพบว่าเรื่องทางเทคนิคอลทั้งหลายนั้นถูกกำหนดออกมานั้นก็เพื่อสร้าง “ประสบการณ์ที่ดี” ให้กับ user โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง HTTPS ที่ถูกกำหนดมาเพื่อรักษาข้อมูลส่วนตัวของ User ให้มีความปลอดภัยมากที่สุด หรือการทำ Responsive เว็บไซต์ก็เป็นการทำเพื่อให้การแสดงผลบนจอมือถือนั้นอ่านและใช้งานได้ง่ายมากที่สุด

ดังนั้นแก่นของการทำ SEO จึงเป็นเรื่องของ User Experience ล้วนๆ

ซึ่ง User Experience ก็เป็นคำที่ค่อนข้างจะมีความหมายกว้างมาก แต่โดยสรุปคือ

  1. Experience ก่อนอ่าน
    คือช่วงเวลาที่เห็นผลลัพธ์บน Search Result ส่วนนี้ค่อนข้างจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับทักษะการเขียนคำเชิญชวนบน Title และ Description คือเขียนอย่างไรให้ตอบโจทย์สิ่งที่ user กำลังค้นหา ถ้าเขียนส่วนนี้ได้ดีจะทำให้ค่า CTR สูงขึ้น ซึ่งผมเองยังเชื่อว่าค่านี้มีผลต่อ Ranking เช่นกัน
  2. Experience ระหว่างการอ่าน
    คือหลังจากคลิ้กเข้ามาที่เว็บไซต์แล้ว สิ่งที่ user ได้รับคืออะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการจัดวาง layout ของเว็บ โฆษณารบกวนหรือไม่ การแสดงผลบนหน้าจอมือถือเป็นอย่างไร การจัดวางบทความและย่อหน้าต่างๆ เรียบร้อยหรือไม่ และที่สำคัญที่สุดคือเนื้อหาที่ได้รับในช่วงย่อหน้าแรกๆ ได้ตอบคำถามตรงความต้องการ และชวนให้ติดตามอ่านต่อมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อ Dwell time
  3. Experience หลังจากอ่านจบ
    คืออ่านจบแล้วได้อะไร มีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน มากพอที่จะทำให้ user ยินดีที่จะแชร์ต่อให้คนอื่นอ่านต่อหรือไม่

ดังนั้นแล้ว การสร้าง “ประสบการณ์ที่ดี” ในทุกช่วงเวลาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และเป็นแก่นแท้ที่คนทำ SEO จะต้องเข้าใจ นำไปใช้เป็นแนวทางในการทำงานมากกว่าที่จะเน้นแต่เรื่องเทคนิคอลแต่เพียงอย่างเดียว สำหรับคนทั่วไปที่อาจจะไม่เข้าใจเรื่องทางเทคนิคอลเท่าไร ผมแนะนำให้เน้นที่เรื่องของการเขียนเนื้อหาให้ดีกว่าเว็บไซต์อื่น ทำอย่างไรให้เนื้อหาบนเว็บไซต์เราเป็นเหมือนหนังสือที่หยิบขึ้นอ่านแล้ววางไม่ลง ถ้าทำได้ Ranking บนผลการค้นหาดีขึ้นแน่นอนครับ
Happy Optimization 🙂

Leave a Reply