
ในฐานะที่เคยต้องศึกษาเอง และใช้งาน Google Ads มานานไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว ทำให้ผมเองเข้าใจดีว่าปัญหาของคนที่อยากซื้อโฆษณาใน Google Search คือ ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ศีกษาหาความรู้ฟรีได้จากที่ไหน และทำอย่างไรเพื่อให้เวลามีคนค้นหาเกี่ยวกับสินค้าของเรา แล้วสินค้าของเราสามารถไปติดอยู่หน้าแรก Google แบบคู่แข่งเจ้าอื่นได้ ที่สำคัญเลยก็คือเราจะสามารถเรียนเองไม่ต้องเสียเงินไปลงเรียนคอร์สต่างๆ ได้ไหม เพราะค่าคอร์สแต่ละที่ราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ
อย่างที่กล่าวไปครับ ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมเองก็เจอเมื่อตอนเริ่มต้น หาข้อมูลศึกษาเอง ลองผิดลองถูกเองมาตลอด ไม่ใช่เพราะไม่อยากเสียเงินเรียนนะครับ แต่ตอนนั้นยังไม่มีคอร์สเปิดสอนมากมายเหมือนตอนนี้ แต่ก็ดีตรงที่ว่า Google เองก็ทำ Help และบทความ Support มาให้ศึกษาเองได้ละเอียดทีเดียว แต่การศึกษาทุกอย่างด้วยตัวเอง ถ้าเอาให้แบบรู้ลึกจริงๆ ก็ต้องใช้เวลามากพอสมควร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเรียนรู้เองไม่ได้ บทความนี้พยายามอธิบายหัวใจสำคัญสำหรับคนที่เริ่มต้นเรียนรู้ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายๆ ให้เข้าใจแก่นและคอนเซ็ปท์ก่อน เพราะถ้าพูดศัพท์เทคนิคของ Google Ads แล้ว ก็อาจจะยากเกินไปสำหรับการเริ่มต้น
Google Ads ไม่ได้ง่ายเหมือน Facebook Ads
โดยเฉพาะ Search Ads หรือโฆษณาที่อยู่ในผลลัพธ์การค้นหาใน Google Search ซึ่งมีความยากกว่า Facebook Ads รวมถึง Google Ads ทุกประเภท แต่ก็เป็นโฆษณาที่สร้างยอดขายได้ดีที่สุด (จากประสบการณ์ที่เคยดูให้เว็บไซต์ e-commerce ขนาดใหญ่ที่ผ่านมา) ดังนั้นถ้าจะศึกษาให้เข้าใจอย่างถูกต้องและรู้ลึกทุกฟีเจอร์นั้น ไม่ใช่เรี่องง่ายเลย
ถามว่า แล้วจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องเข้าใจ และรู้ลึกๆ ทุกฟีเจอร์ถ้าต้องการซื้อโฆษณา Google Ads คำตอบคือ ก็ไม่จำเป็นขนาดนั้น หลายคนเข้าใจในระดับหนึ่งก็สามารถซื้อโฆษณาเพิ่มยอดขายกันได้แล้ว เพียงแต่จะออฟติไมซ์กันแบบที่อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ๆ ทำกันก็คงจะยังทำไม่ได้
โอเค เข้าใจล่ะ งั้นต้องเริ่มต้นอย่างไรบ้างถ้าจะซื้อโฆษณา Google Ads
1) สร้างแอคเคาท์ Google Ads สำหรับซื้อโฆษณา
เร่ิมต้นจากการสร้างบัญชี Google Ads ซึ่งสร้างได้ง่ายมาก ใครที่อยากทดลองเรียนรู้แต่ยังไม่อยากผูกบัตรเครดิต แนะนำให้อ่านวิธีการสร้างแอคเคาท์จากบทความนี้ครับ สมัครและเปิดบัญชี Google Ads

2) Keywords จุดเริ่มต้นของการซื้อโฆษณา Google Ads
การที่ลูกค้าเข้าไปที่ Google เพื่อค้นหาส่ิงที่ต้องการ ลูกค้าก็จะกรอก “Search Term” ซึ่งเป็นคำหรือวลี ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการ ดังนั้นถ้าโฆษณาของเราจะไปแสดงได้เราจะต้องใส่ Keyword ในตอนซื้อโฆษณาให้ตรง/ใกล้เคียง กับการค้นหาของลูกค้า การเร่ิมต้นง่ายๆ ในการคิด Keyword ก็ให้เรามองที่สินค้าเรา แล้วคิดว่าถ้าเราเป็นลูกค้าเราจะหาสินค้านั้นใน Google ด้วยการ Search อย่างไร เช่น สมมุติผมขาย หน้ากากกันฝุ่น pm2.5 ยี่ห้อ M16 ลูกค้าก็น่าจะค้นหาด้วยคำว่า “หน้ากากกันฝุ่น” “หน้ากาก N95” เป็นต้น เราจะนำ keyword สองคำนี้ไปใส่ในแคมเปญโฆษณาของเรา พอมีคนค้นหาคำว่า หน้ากากกันฝุ่น Google ก็จะรู้ว่าเราซื้อคำนี้อยู่ ก็จะนำ Keyword ของเราไปเข้าระบบประมูลกับคนอื่นๆที่ซื้อโฆษณาคำนี้ (มีระบบประมูลด้วย ขออนุญาติไม่กล่าวถึงนะครับ จะยาวมาก) ซึ่งถ้าเรามีคะแนนผ่านการประมูล โฆษณาของเราก็จะไปแสดง เท่านี้เองหลักการแบบคร่าวๆ
keyword บางคำที่เจ้าของธุรกิจมักจะซื้อกัน ก็คือชื่อแบรนด์สินค้าตัวเอง เช่น ผมซื้อคำว่า “หน้ากาก M16” ซึ่งจริงๆ แล้วสำหรับแบรนด์ใหม่ๆ ที่คนยังไม่รู้จัก ก็ไม่ต้องไปซื้อ เพราะในเมื่อยังไม่มีใครรู้จักแบรนด์ แล้วใครจะค้นหา จริงไหมครับ เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดพลาดร้ายแรงอะไร เพราะต่อให้เราซื้อก็ไม่มีคนค้นหา แล้วก็ไม่มีคนคลิ้ก เราก็ไม่ได้เสียเงินอะไร เพียงแต่ไม่รู้จะซื้อไปทำไมเท่านั้นเอง
3) สร้างแคมเปญโฆษณา นอกจากเตรียมเงินไว้ แล้วต้องรู้อะไรอีก
หลังจากที่เราได้ keywords ที่เราต้องการแล้ว จะแบบคิดเองที่ใช้ความรู้สึกแทนตัวเราเป็นลูกค้า หรือจะใช้เครื่องมือ Keyword Planner ในระบบ Google Ads ก็ได้ เราก็พร้อมที่จะเริ่มเซ็ตแคมเปญกันแล้ว ซึ่งส่ิงสำคัญอย่างแรก็คงเป็นเรื่องเงิน ขั้นตอนการสร้างแคมเปญจะมีส่วนให้เราระบุ Budget/day ว่าเราต้องการใช้เงินวันละกี่บาท ตรงนี้เองที่ทำให้เราสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายของเราได้ ว่าเราจะจ่ายกี่บาทต่อวัน หรือทั้งแคมเปญของเราต้องจ่ายเงินกี่บาทเป็นต้น นอกจากเรื่องเงินแล้วสิ่งสำคัญที่ต้องรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือที่แคมเปญนี้เราสามารถกำหนด Location ได้ว่าคนที่เห็นโฆษณาของเราต้องอยู่ที่จังหวัดไหน คล้ายๆ กับการทำ Location Targeting ใน Facebook Ads แหละครับ ถ้าใครเคยซื้อคงพอนึกออก ดังนั้นคนที่ทำธุรกิจประเภทร้านอาหารก็สามารถจะซื้อโฆษณาในเฉพาะพื้นที่ 5 กิโลเมตร รอบๆ ร้านอาหารของเราได้ เพราะเราก็ไม่ส่งอาหารปรุงสำเร็จข้ามจังหวัด ถูกไหมครับ
4) คิดคำโฆษณาดีๆ คิดให้เยอะ ทำให้มาก
หลังจากผ่านขั้นตอนก็สร้างแคมเปญ และระบุ Keywords แล้ว ขั้นตอนสำคัญถัดไปจะเป็นส่วนที่เราต้องสร้างคำโฆษณากัน (Text Ad) ซึ่งตรงนี้หลายคนไม่ค่อยให้ความสำคัญมากเท่าไรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างคำโฆษณาเพียงชุดเดียว ซึ่งถือเป็นคำผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่ต้องย้ำเสมอเวลาสอนในคลาสก็คือ เวลาเซ็ตโฆษณาอย่างน้อยที่สุดจะต้องมี คำโฆษณา 3 ชุด การที่มีโฆษณามากกว่า 1 ชุด ระบบของ Google จะสามารถออปติไมซ์โฆษณาให้เราได้ดีกว่า มีทางเลือกในการส่งโฆษณาที่น่าจะเหมาะกับการค้นหาในแต่ละครั้ง ซึ่งถ้าเรามีโฆษณาเพียงชุดเดียว ไม่ว่าคำโฆษณานั้นจะดีจะห่วย ระบบของ Google ก็ต้องส่งโฆษณานั้นออกไปโดยไม่มีทางเลือก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้น เพราะเราเองเป็นผู้เสียประโยชน์โดยตรง
แต่ย้ำเพิ่มอีกนิดนึงเรื่องการการมีโฆษณา 3 ชุด อย่าลืมว่าการเขียนสื่อสารของคำโฆษณาทั้งสองชุดควรแตกต่างกันอย่างชัดเจน ถ้าเราเขียนเหมือนเดิม เปลี่ยนคำพูดนิดหน่อย อย่างนี้คงไม่เกิดประโยชน์อะไรเหมือนกัน ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นแนวทางการเขียน Content เพื่อสร้าง Conversion โดยแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการเขียนแบบเน้นฟีเจอร์ของสินค้า (Feature) ซึ่งคนทั่วไปมักจะทำกัน กับเน้นส่ิงดีๆ ที่ลูกค้าจะได้รับ (Benefit) ซึ่งเป็นการเขียนที่เข้าถึงความรู้สึกและความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าได้ดีกว่า ลองนำไปปรับดูนะครับ

5) สุดท้าย ต้องวัดผลให้ได้ว่า แคมเปญไหน หรือคีย์เวิร์ดไหน ช่วยสร้างยอดขาย
การที่ซื้อโฆษณาแต่ไม่มีการวัดผล ถือเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด ซึ่งเอาจริงๆ ก็เห็นอยู่บ่อยๆ ที่คนซื้อโฆษณาแต่ยังไม่รู้จักวิธีการวัดผล คำถามคือ ถ้าเราไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรห่วยด้วยการวัดผล เราจะสามารถปรับปรุงแคมเปญของเราให้ดีหรือดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร บางคนพอซื้อโฆษณาแล้ว ยอดขายก็ขึ้น แล้วก็คิดว่าไม่ต้องวัดผลก็ได้ ก็ยอดขายขึ้นก็ดีแล้ว ก็เพิ่มเงินโฆษณาเข้าไปอีก เดี๋ยวยอดขายก็เพิ่มขึ้นไปอีก แค่นี้เอง ไม่ควรคิดอย่างนี้นะครับ เพราะการวัดผลว่าอะไรดีอะไรไม่ดี สุดท้ายแล้วจะช่วยให้เราสามารถเพิ่มยอดขายได้โดยไม่ต้องเพิ่มค่าโฆษณาด้วยซ้ำ อย่างนี้เป็นสิ่งที่เราต้องการกันไม่ใช่เหรอครับ ซึ่งใน Google Ads เองก็มีฟีเจอร์ที่ให้เราสามารถสร้างการวัดผลได้ โดยการสร้างและนำ Conversion Tracking Code ไปติดที่เว็บไซต์ของเรา ซึ่งเรื่องนี้ย้ำอีกทีว่าซีเรียสมากสำหรับคนซื้อโฆษณา ใครที่ต้องการสร้าง Conversion Tracking อ่านได้จากบทความนี้ การสร้าง Conversion Tracking แบบ step by step
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถือเป็นเรื่องสำคัญพื้นฐานที่ต้องเข้าใจ ซึ่งเอาจริงๆ ก็ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องมากที่ควรจะต้องเรียนรู้จากการลงมือทำจริงๆ และศึกษาไปพร้อมๆ กัน เพราะการทำและเห็นผลลัพธ์ไปด้วยนั้น จะทำให้เกิดการเรียนรู้ ปรับปรุง ทำให้มีประสบการณ์ตรงซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจเทคนิคและฟีเจอร์ต่างๆ อย่างถ่องแท้มากขึ้นกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียว
Happy Advertising 🙂
สนใจเรียน Google Ads อ่านรายละเอียด
ไม่พลาดทุกบทความ แอดเฟรนด์ Line@ : @pornthep