โดยปกติแล้วในการทำมาร์เก็ตติ้งนั้น ช่วงของการทำแผน หรือทำ marketing plan แน่นอนว่าสไลด์แผ่นแรกๆ จะต้องมีเรื่องของ Objectives อย่างแน่นอน เพราะคงไม่มีใครทำมาร์เก็ตติ้งเพื่อใช้เงินเล่นๆ โดยไม่มีวัตถุประสงค์มารองรับ ดังนั้นการจะตอบว่าออนไลน์มาร์เก็ตติ้งที่ทำอยู่นั้นเวิร์คหรือไม่จะต้องมีการเซ็ต KPIs ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขึ้นมาด้วย
ยกตัวอย่างเช่น หากมีการเซ็ตแคมเปญโดยมี Objectives เพื่อต้องการให้ลูกค้ามารีจิสเตอร์ที่หน้าเว็บ KPI ของแคมเปญนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นจำนวนคนที่มารีจิสเตอร์ (Goal) ส่วนจะคุ้มค่ากับ marketing budget ที่ใช้ไปหรือเปล่านั้น จะต้องมีการกำหนดมูลค่า (Goal Value) ให้กับคนหนึ่งคนที่มารีจิสเตอร์ด้วย เราจึงจะรู้ว่าควรจะต้องมีคนมารีจิสเตอร์อย่างน้อยเป็นจำนวนเท่าไรจึงจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
โดย Google Analytics นั้นมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ marketers ทั้งหลายสามารถทำการเซ็ตอัพ Goals และ Goal Value ไว้อยู่แล้วดังภาพด้านล่าง ซึ่งจะช่วยทำให้เราวัดผลได้ว่า แคมเปญมาร์เก็ตติ้งที่ทำไปนั้นเวิร์คหรือไม่เวิร์ค แต่ละแชนแนล เช่น email marketing, social media marketing, facebook ad อะไรที่ทำให้เกิดการรีจิสเตอร์มากที่สุด หรือค่าโฆษณาที่จ่ายให้ Facebook ไปนั้น คุ้มค่าหรือไม่
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่างดังนี้ เช่นผมเองเปิดคอร์สสอน Google Analytics ให้คนทั่วไปที่มีความสนใจ Objectives ของผมแน่นอนว่าย่อมต้องการให้คนมา Register สมัครเรียน ดังนั้น Goal หรือ KPI ของผมก็คือจำนวนคนที่มา Register แล้วถ้าผมซื้อโฆษณาบน Facebook จะต้องมีอย่างน้อยที่สุดกี่คนที่มา Register จากการคลิ้กโฆษณาบน Facebook จึงจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป วิธีการคิดของผมก็คือ สมมุติว่าคอร์สเรียนของผมคิด 100บาท/ท่าน Goal Value ของผมก็จะเซ็ตไว้ที่ 100 บาท/1 goal conversion ดังนั้นหากผมจ่ายค่าโฆษณา Facebook 500 บาท ผมต้องได้คนมารีจิสเตอร์อย่างน้อย 5 คนจึงจะเท่ากับค่าโฆษณาที่จ่ายไป ในความเป็นจริงคือผมจะต้องมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของสถานที่จัดสอน รวมทั้งค่าแรงในการสอน ผมจึงต้องให้ได้มากกว่า 5 คนเพื่อให้ธุรกิจไม่ขาดทุน ซึ่งหากจะเฉลี่ยค่าสถานที่และค่าสอนต่อคนไปใส่ใน Goal Value ก็เป็นวิธิที่ทำได้เช่นกัน แต่หากจะคิดให้ละเอียดกว่านี้ ผมควรจะต้องนำเรื่องของสัดส่วนการยกเลิกการจองคอร์สมาประกอบด้วยจึงจะหาค่า Goal Value ที่เหมาะสมกว่านี้ได้ เท่านี้ก็น่าจะพอเห็นภาพและนำไปประยุกต์ใช้งานกันได้แล้วนะครับ
ปล. การวัดผลโฆษณา Facebook ด้วย Google Analytics จำเป็นต้องทำ UTM tagging ด้วยนะครับ เพื่อสามารถจะวัดผลแยกจากโพสต์แบบปกติบน Facebook ลองอ่าน วัดผล email campaign อย่างมีประสิทธิภาพด้วย UTM tagging แล้วนำมาประยุกต์ใช้นะครับ