หลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่า “Funnels” ในภาพของ “Goal Funnels” กันเป็นส่วนใหญ่ ถ้าคนที่เคยเซ็ต Goal Funnel ไว้ก็คงพอจะนึกภาพตอนดูรีพอร์ทนี้ได้ ซึ่งภาพที่เราเห็นกันก็จะมีลักษณะตามตัวอย่างด้านล่างนี้ คำว่า “Funnel” สื่อความหมายตัวมันเองค่อนข้างชัดเจน ซึ่งหมายถึงรูปทรงกรวยน้ำ ให้คิดภาพง่ายๆ สมมุติเรากำลังจะสั่งซื้อสินค้าจากเว็บไซต์เว็บหนึ่ง step ที่จะเกิดตอนที่เรากำลังจะซื้อนั้น จะมี step ประมาณนี้คือ เราจะเริ่มต้นจากหน้า shopping cart > แล้ว next ไปที่หน้ากรอกข้อมูล shipping/billing address > แล้วก็ next ไปที่หน้าเลือกวิธีการชำระเงิน > สุดท้ายเมื่อชำระเงินสำเร็จ เราก็จะไปที่หน้า Thankyou
Steps ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนจะเกิด Goal (purchase) จะเป็นเหมือนเส้นตรงที่เรียงลำดับอยู่ใน กรวยน้ำ (Funnel) ซึ่งเราคงพอนึกภาพออกว่าทรงกรวยนั้นจะเล็กลงเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า ในแต่ละสเต็ปในขั้นตอนการสั่งซื้อนั้น ปริมาณของ session จะลดลงไปทีละสเต็ป ดูจากภาพจะเห็นว่ามี 70 session เข้ามาที่หน้า shipping แล้วผ่านไปที่สเต็ป payment เพียง 38 sessions สุดท้ายจบที่หน้า Complete purchase 23 sessions และการหลุดออกไปจากสเต็ป เราเรียกกันว่า Drop-off (ดูที่แถบสีแดงในภาพก็จะบอกตัวเลขไว้เช่นกัน) ซึ่งการเห็นรีพอร์ทลักษณะนี้ก็จะช่วยให้เราสามารถทราบได้ว่า ปัญหาใน Checkout Flow เกิดขึ้นที่ Step ใด พอจะนึกภาพ Funnel ออกแล้วใช่ไหมครับ
ข้อจำกัดของ Goal Funnel
แต่การเซ็ต Goal Funnel มีข้อจำกัดอยู่หลายประการ นั่นก็คือ Goal Funnel สามารถที่จะเซ็ตได้เฉพาะกับ Goal ประเภท Destination Goal คือ Goal ที่มีหน้าเป้าหมายปลายทางชัดเจน เช่น หน้า Thankyou เป็นต้น ข้อจำกัดอีกประการคือ Destination และ Steps ต่างภายใน Funnel ต้องเซ็ตด้วยการใช้ URL ของเว็บไซต์เท่านั้น ซึ่งหลายๆ ครั้งข้อจำกัดนี้ทำให้เราไม่สามารถเซ็ต Funnel ได้เลย ยกตัวอย่างเช่น Flow Checkout ประเภทที่เป็น One-Page Checkout ที่ทุก steps รวมกันอยู่ในหน้าเดียว (URL เดียว) และประการสุดท้ายคือ Goal Funnel นั้นไม่ Retroactive ซึ่งหมายความว่า Funnel ที่เราเพิ่งสร้างขึ้นจะไม่สามารถดูดาต้าย้อนหลังก่อนวันสร้างได้ – -“
Custom Funnel ดีอย่างไร ทำไมถึงควรต้องใช้งาน
- ภาพของ Funnel ดูเข้าใจง่ายกว่าเดิมมาก ใครที่ใช้ Enhanced Ecommerce คงคุ้นเคยกับภาพคล้ายๆ กับ Funnel ด้านล่างนี้ จากรีพอร์ท Shopping Behavior และ Checkout Behavior (บทความนี้ยังไม่ขอกล่าวถึงเรื่อง Enhanced Ecommerce นะครับ)
- การสร้าง Custom Funnel เมื่อสร้างเสร็จแล้ว เราสามารถย้อนกับไปดูข้อมูลก่อนวันที่สร้างได้ทันทีเลย หมายความว่ามันทำงานแบบ Retroactive นั่นเอง
- ประการที่ 3 ซึ่งถือเป็นจุดเด่นมากของ Custom Funnel คือ แต่ละ steps นั้นมีความยืดหยุ่นในการเซ็ตมาก ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ URL อย่างเดียวเหมือน Goal Funnel ตามภาพด้านบนหลังจาก step 1 คือเป็นจำนวน user ทั้งหมดที่เข้าเว็บไซต์ 11,742 และ step ที่สองเรากำหนดให้เป็นการดู VDO ตรง step นี้เราสามารถเซ็ตจาก event การกดปุ่ม Play VDO ได้ เทพไหมละครับ ส่วน step ที่ 3 เราอยากรู้ว่าคนที่ดู VDO แล้วไป submit lead เท่าไร เห็นภาพชัดขึ้นใช่ไหมครับ สิ่งนี้คือ Custom Funnel ที่เราจะกำหนดอะไรได้เกือบตามใจต้องการเลยทีเดียว
- ที่ดีเลิศไปกว่านั้นคือ เราสามารถสร้าง Audience ได้อย่างง่ายดายเพียงคลิ้กเดียว ซึ่ง Audience ที่สร้างแล้วก็สามารถนำไปใช้ทำ Remarketing หรือทำ Analysis ต่อไปอีกด้วย ในเคสเดียวกันกับภาพด้านบน เราสามารถสร้าง audience จากคนที่ดู VDO แต่ไม่ Submit lead เพื่อทำโฆษณากลับไปกระตุ้นได้อีกที โอ้ววววววว
ถึงตรงนี้หลายคนก็คงเห็นว่า Custom Funnel นั้นดีมากแค่ไหนแล้วใช่ไหมครับ แต่จริงๆ แล้วมันยังดีได้กว่านั้นอีก ถ้าหากเราใช้ร่วมฟีเจอร์ User ID ร่วมกับการ Import Data เราก็จะเห็นดาต้าที่เป็นลักษณะของ Cross Device User และสามารถแทร็คไปจนถึง Steps ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ Offline ได้อีกด้วย ตามภาพด้านล่างเราจะเห็นอีก 2 steps เพิ่มเข้ามาถัดจาก Lead Submit คือ Marketing Qualified Lead และ Sales Qualified Lead ตามลำดับ ซึ่ง 2 steps นี้นั้นเป็นดาต้าที่ import จาก Offline เข้าไปใน GA อีกที เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากทีมขายคัดเลือก Lead ที่มีคุณภาพ มีดาต้าครบถ้วน (Qualified Lead) ว่าเหลืออยู่เท่าไรจาก Lead submit ก่อนที่จะปิดการขายได้สำเร็จอีกเท่าไรที่ Steps สุดท้าย (Sales Qualified Lead) เห็นไหมละครับว่า Custom Funnel นั้นดีขนาดไหน แต่…
แต่อะไร?
ฟีเจอร์นี้นั้นตอนนี้ยังมีให้เฉพาะ Analytics 360 เท่านั้น ก็รอกันไปก่อนนะครับ หวังว่าทาง Google จะยอมให้ Account ปกติสามารถใช้งานกันได้ ส่วนใครใช้ GA 360 ถ้าไม่ได้ใช้ฟีเจอร์นี้ เสียเงินไม่คุ้มอยู่นะครับ 🙂
source : http://www.kristaseiden.com
Happy Analytics!