Google Trends เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ แต่การใช้งานก็มักจะเป็นการใช้งานกันแบบเบสิค คือใส่คำค้นหาลงไปเพื่อดูแนวโน้มที่ผ่านมาเท่านั้น เอาเข้าจริงๆ การใส่คำค้นหาถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดของการใช้เครื่องมือนี้ และข้อมูลที่ได้จะถูกต้องมากน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่การใส่คำค้นหาของเรา เพราะ Google Trends จะนำ Search Term ที่เราระบุไปทำการ Matching กับ Search Term ที่เคยมีการค้นหาจริงผ่าน Google Search ทั้งหมด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราต้องเข้าใจเพื่อที่จะใช้ประสิทธภาพของ Google Trends อย่างสูงสุดแล้วก็คือ วิธีการ Matching และการใส่ Operator พิเศษเข้าไปใน Search Term เพื่อควบคุมการ Matching ให้ตรงกับความต้องการของเรานั่นเอง
รูปแบบการ Matching ของ Search Terms ใน Google Trends
- Running Shoes
การใส่ Search Term แบบปกติที่เรามักจะใช้กัน คืออยากรู้เทรนด์เรื่องอะไรก็พิมพ์เข้าไปเลย หาก Google Trends พบ Search Term ที่ไม่มีการระบุ Operator พิเศษแบบนี้ วิธีการ Matchng ที่ใช้คือ Google จะหาการค้นหาที่มีทั้งสองคำนี้รวมอยู่ด้วย (Running และ Shoes) โดยไม่สนใจลำดับก่อนหลัง และไม่นับรวมคำสะกดผิด คำที่มีความหมายคล้ายกัน และคำที่เป็นพหูพจน์ ซึ่งการ Matching แบบนี้อาจจะขัดกับความรู้สึกของคนที่ใช้ Keyword Matching Option ใน Adwords เพราะหากเป็นใน Adwords การระบุ Keyword โดยไม่ใส่ Operator พิเศษจะเรียกว่า Board Match ซึ่งจะนับรวมคำที่สะกดผิด คำพหูพจน์และ คำที่มีความหมายเหมือนกันเข้าไปด้วย - “Running Shoes”
การใส่ Search Term ร่วมกับการใช้ Double Quote ซึ่งหากเราระบุแบบนี้ Google จะใช้วิธีการ Match แบบที่สองคำนี้จะต้องถูกค้นหาแบบติดกันอย่างนี้ แต่จะนับรวมการค้นหาที่มีคำอยู่ก่อนหน้าหรืออยู่หลัง Running Shoes ด้วยทั้งหมด เช่น Buy white running shoes เป็นต้น รูปแบบนี้คนที่เคยซื้อ Adwords ที่ใช้ Matching Option แบบ Phrase Match จะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว - Running + Shoes
การใส่เครื่องหมาย + ระหว่างคำสองคำ จะเป็นหาการค้นหาที่คำว่า Running หรือ Shoes ซึ่งหมายความว่าหากมีเพียงคำใดคำหนึ่งก็จะถูก Matching กับสิ่งที่เราระบุไป การใช้เครื่องหมาย + นี้เรามักจะใช้ในกรณีที่มีการใช้คำค้นหาที่มักจะผิดหรือมีวิธีการเขียนได้หลายอย่างในความหมายเดียวกัน เช่น Center, Centre, และ Centere เป็นต้น เนื่องจากการ Matching ของ Google Trends นั้นจะไม่นับรวมคำสะกดผิด และคำที่มีความหมายเหมือนกันแต่เขียนคนละแบบ ดังนั้นในกรณีเช่นนี้ สิ่งที่เราต้องระบุลงไปในช่อง Search Term ก็คือ Centre + Center + Centere - Running – Shoes
การใส่เครื่องหมาย – หน้าคำใด จะเป็นการ exclude คำนั้นออกไป ตัวอย่างนี้จะ Match กับการค้นหาที่มีคำว่า Running รวมอยู่ได้ แต่ไม่มีคำว่า Shoes ซึ่งการใช้ Operator นี้ถือว่ามีประโยชน์มากเพราะช่วยปรับจูนการหาข้อมูลให้มีความแม่นยำมากย่ิงขึ้น
ตัวอย่างการใช้งานจริงที่ช่วยให้เห็นภาพมากขึ้น เช่นกรณีของการค้นหาคำว่า “pokemon” หากต้องการตัดการค้าหาเกี่ยวกับ เกม ออกจากการวิเคราะห์เพื่อดูว่าหากไม่มีกระแสของเกมโปเกมอนแล้ว การค้นหาเกี่ยวกับโปเกมอนมีเทรนด์เป็นอย่างไร ก็สามารถทำได้โดยระบุ Search Term ว่า pokemon – เกม ก็จะได้เส้นกราฟตามภาพด้านบน ใครที่ยังไม่รู้จักวิธีการใช้งาน Google Trends อ่านได้จากบทความ Google Trends คืออะไร วิธีการวิเคราะห์ใช้งานสำหรับผู้เริ่มต้น ส่วนใครที่อยากจะรู้จักเทคนิคและฟีเจอร์ระดับแอดวานซ์แนะนำให้อ่าน ใช้ Google Trends แบบมือโปร ฟีเจอร์ที่คนทั่วไปไม่เคยรู้
Happy Analytics